เมื่อต้องการเปลี่ยนบรรยากาศให้กับบ้าน วิธีที่หลายคนนิยม คือ "การทาสีใหม่" ด้วยสีที่ตัวเองชื่นชอบ แต่รู้มั้ยคะว่า การเลือกทาและตกแต่งด้วยสีเพียงสีเดียวทั้งห้องอาจทำให้ห้องดูราบเรียบและขาดชีวิตชีวาได้ ทางที่ดี เราควรเลือกสีที่เหมาะสมอีกอย่างน้อยหนึ่งสี มาช่วยเติมมิติให้บ้านและห้องของเราดูสวยน่าอยู่ยิ่งขึ้นค่ะ

หลักง่ายๆ ในการใช้สี คือ ใช้สีหลักและสีรองในสัดส่วน 70: 30 หรือ 80:20 จะดูสวยงามและลงตัวเป็นพิเศษนะคะ ซึ่งวิธีการเลือกสีรองมาจับคู่กับสีหลัก มี 3 วิธี คือ เลือกสีที่ใกล้เคียงกันเพื่อเติมความกลมกลืน, เลือกสีตัดกันเพื่อช่วยเบรคสีไม่ให้จืดหรือจัดเกินไป หรือเลือกจับคู่เข้ากับสีกลาง (อย่างเช่น ขาว เทา ดำ ครีม) ที่สามารถเข้ากันได้กับทุกสีค่ะ หากสงสัยว่าสีโปรดของคุณควรจับคู่กับสีอะไร มาดูไอเดียเหล่านี้ไปพร้อมๆกันเลย

1. สีเหลือง: ทำให้บ้านดูสว่างและกว้าง สามารถใช้ตกแต่งได้เกือบทุกห้อง หากจะ กั้นห้องด้วยผนังเบา สีเหลืองจะช่วยสร้างความรู้สึกสดชื่นและเบิกบานได้ดี แนะนำให้ใช้ร่วมกับโทนสีเข้ม อาทิ น้ำตาล น้ำเงินเข้ม จะทำให้ห้องดูมีน้ำหนักและมีมิติ นอกจากนี้ อาจใช้สีกลางช่วยลดความจัดจ้านของสีเหลือง แต่ไม่ควรใช้สีเหลืองร่วมกับสีลูกกวาดอย่างสีชมพูหรือฟ้า เพราะจะทำให้ห้องดูเหมือนห้องสำหรับเด็ก

2. สีฟ้า-น้ำเงิน: ทำให้ห้องดูสว่างสบายตา เป็นโทนสีเย็น จึงให้ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย เราสามารถเลือกใช้สีฟ้ากับพื้นที่ในบริเวณกว้างได้ แต่ถ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มไม่แนะนำให้ใช้ทาในพื้นที่กว้างเพราะจะทำให้ทั้งห้องดูทึมและคับแคบ หากต้องการจับคู่ให้ดูสะดุดตา ลองจับคู่กับสีที่ตัดกัน อาทิ แดง เหลือง ส้ม แต่หากต้องการความกลมกลืน ควรจับคู่กับสีโทนเย็น อาทิ สีเขียว

3. สีแดง: ให้ความรู้สึกร้อนแรง มีพลัง และมีการเคลื่อนไหว ช่วยเน้นให้พื้นที่ดูน่าสนใจ เป็นหลักในการ แต่งห้องด้วยโทนสีจิตวิทยา อีกแบบที่น่าสนใจ หากเลือกใช้คู่กับโทนสีกลาง เช่น ขาว เทา ครีม และดำ จะทำให้สีแดงดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น แต่การใช้สีแดงมากเกินไป อาจทำให้รู้สึกอึดอัด ลองจับกับคู่สีใกล้เคียงกันอย่างเช่นสีม่วงหรือสีส้ม จะช่วยลดความแรงลง แต่ยังทำให้ภาพรวมของห้องดูเป็นสีแดงอยู่

4. สีเขียว: ทำให้รู้สึกสงบ สดชื่น และผ่อนคลาย สามารถเลือกใช้ตกแต่งได้เกือบทุกห้อง หากห้องมีพื้นที่กว้างสามารถใช้สีเขียวเข้มได้ แต่ถ้าห้องค่อนข้างแคบ ควรใช้สีที่อ่อนลงมา อย่างเช่น สีเขียวมิ้นท์ จะช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้น เราอาจจับคู่สีใกล้เคียง อย่างฟ้าหรือเหลือง เพื่อให้ดูกลมกลืนสบายตา หรือถ้าต้องการเพิ่มความน่าสนใจ ลองจับกับสีคู่ตรงข้าม อาทิ สีโทนแดงและน้ำตาล หรือจับคู่กับโทนสีกลางก็ได้

5. โทนสีพาสเทล: สีพาสเทล คือ สีที่เกิดจากการเจือสีขาวลงไปกับสีใดๆ ก็ตาม ทำให้เกิดสีที่มีความนุ่มนวล อ่อนหวาน และบางเบา ส่วนใหญ่นิยมใช้ตกแต่งบ้านสไตล์วินเทจ ไม่ควรจับคู่สีพาสเทลเข้าด้วยกันหลายสีจนเกินไป เพราะอาจทำให้ห้องดูหวานเลี่ยน แนะนำให้จับคู่สีพาสเทลกับสีกลาง อาทิ ขาว ครีม เทาอ่อน

6. โทนสีเข้ม: ไม่ได้จำกัดอยู่ที่สีเทาและดำเท่านั้น แต่ยังมีสีอื่นๆ อาทิ น้ำเงินเข้ม น้ำตาลเข้ม ม่วงเข้ม เขียวเข้ม จึงสร้างอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งเท่ เคร่งขรึม ทะมัดทะแมง แนะนำให้จับคู่สีเข้มเข้ากับสีสว่างหรือสีสดๆ เพื่อให้ห้องดูไม่มืดจนเกินไป แต่การใช้สีเข้มอาจทำให้ห้องดูอึดอัด จึงเหมาะกับห้องที่มีพื้นที่มากและมีฝ้าเพดานสูง แต่สำหรับใครที่มีห้องเล็กแล้วต้องการใช้โทนสีนี้ แนะนำให้เลือกทาสีเข้มที่ด้านใดด้านหนึ่งของห้องเท่านั้น จะช่วยเพิ่มมิติให้ห้องดูลึกยิ่งขึ้น

การทาสีใหม่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้านให้น่าอยู่ นอกจากเลือกสีที่สวยงามตรงใจแล้ว อย่าลืมเลือกประเภทของสีให้เหมาะกับการใช้งานด้วยนะคะ

หากใช้นอกบ้าน ควรเลือกใช้สีทาภายนอกเพราะทนต่อแดดฝนและไม่หลุดร่อน หากใช้ภายในบ้าน สามารถใช้สีทาภายในที่มีคุณภาพแบบกลางๆ ได้ เพราะภายในไม่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศมากนักค่ะ

แต่หากบ้านไหนที่เลือกใช้วัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ อาทิ แผ่นผนังเบา เฌอร่าบอร์ด ไม้ฝาเฌอร่า แนะนำให้ใช้สีสำหรับทาไฟเบอร์ซีเมนต์โดยเฉพาะนะคะ เนื่องจากประกอบด้วยเซลลูโลส หากเป็นสีอะคริลิกทั่วไปจะยึดเกาะวัสดุได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงอาจเกิดปัญหาสีไม่สม่ำเสมอหรือลอกร่อนได้ง่าย การทาด้วยสีสำหรับไฟเบอร์ซีเมนต์ จะให้สีที่เนียนเรียบและสดใส แถมยังติดทนทานกว่า เมื่อเลือกประเภทสีที่ใช่ในโทนสีที่ชอบ บ้านของเราก็จะสวยและทนไปอีกนานค่ะ

ชุตินันท์ หงษ์ทอง, Author

Post a Comment